ผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วงไปไม่ทันไรก็จะหมดฤดูหนาวต่อกันแล้วนะครับ
หลายๆคนคงได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือที่ชอบเรียกกันว่า ใบไม้เปลี่ยนสี , ใบไม้แดง กันนั่นแหละครับ ที่นี่ โดยเฉพาะแถบคันไซนี้ขึ้นชื่อเป็นอย่างมากในด้านการเที่ยวชมใบไม้แดงสวยๆ ทุกๆปีก็จะมีผู้คนเดินทางมาชมกันมากมายทั้งคนญี่ปุ่นเองก็ดี คนต่างชาติอย่างเราก็มาก
วันนี้พาไปเดินชมใบไม้แดงกันที่เมืองเกียวโต ฝั่งตะวันตก หรือที่เรียกว่า อาราชิยาม่า นั่นเอง
สำหรับทริปเที่ยวคันไซตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 4 แล้วนะครับ ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรกๆ รวบรวมลิ้งไว้ให้นะครับ ^^
ตอนที่ 3 : รีวิวจัดเต็ม Kinosaki onsen ฟินจนอยากหยุดเวลา
ตอนที่ 2 : พาเดินตลาดมือสองญี่ปุ่น ช็อปจุใจที่ Garage Sale
ตอนที่ 1 : ดีงามเกินคุ้ม ที่พักโอซาก้าจาก Airbnb
อ่านแล้วชอบ ถูกใจ เห็นว่าเป็นประโยชน์ ขอแรงช่วยๆกันกด Like กด Share แบ่งปันท่านอื่นๆ และได้ชวนเพื่อนๆไปด้วยกันนะครับ
กด Like รอติดตามตอนใหม่ๆได้ที่นี่เลย http://facebook.com/duetdiary/
แผนทีเส้นทางเดินชมใบไม้แดง 1 วัน
เส้นทางด้านบนในแผนที่นี้เป็นเส้นทางที่เราจะพาเดินกันในวันนี้ ชมเมืองสวยๆ หาขนมอร่อยๆทาน และชมใบไม้แดงกันให้เต็มอิ่ม แผนที่มีปักหมุดจุดสำคัญๆไว้แล้ว แต่ถ้าอยากแวะตรงไหนเพิ่มเติมก็ตามที่ชอบและตามเวลาอำนวย ได้เลยนะครับ ^^
ผมนำแผนที่ Kansai ที่ทำไว้ตอนไปเที่ยวบน Google Map มาแบ่งปันกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
https://goo.gl/JQjxxW
นั่งรถไฟมาจากโอซาก้ามาแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะมาถึงที่สถานี Arashiyama ทางตะวันตกของเกียวโต ใครที่จัดทริปมาเที่ยวแถบนี้ควรออกมาเช้าๆหน่อยนะครับ จะได้สัมผัสกับแสงแดดยามเช้าสวยๆ และแดดยังไม่ร้อนมากด้วย
Arashiyama จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมากๆแห่งหนึ่งในเกียวโต โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี่ล่ะครับ คนจะหลั่งไหลกันมาตลอดทั้งวันและทุกวัน มีทั้งมากันเองแบบเรา หรือทัวร์ลง อย่างไรก็เผื่อใจเรื่องคนเยอะไว้นิดนึงนะครับ
เราเดินทางมาที่นี่วันที่ 27 พ.ย. ปีที่ผ่านมา ตอนไปก็ได้ยินว่าปีนี้อุณหภูมิแปรปรวน ทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีไม่มาตามนัดเท่าไรนัก ช่วงที่ไปก็เรียกได้ว่ายังแดงไม่สุด หรือยังไม่ถึงจุดพีค (ติดตามรายงานได้ตลอดทุกปีที่นี่ http://www.japan-guide.com/blog/koyo15/) แต่เพียงเท่านี้ก็สวยงามประทับใจมากแล้วครับ
ตรงนี้เป็นจุดแรก เป็นคลองเล็กๆไม่แน่ใจว่าใช่เขื่อนกั้นน้ำไหม มโนเอาว่าเป็นน้ำตกละกันครับ 555
ยังอยู่ที่จุดเดียวกัน เดินข้ามมานิดหน่อยตรงมุมนี้มีต้นเมเปิ้ลที่เปลี่ยนสีได้ที่กำลังดี มีครบทั้งสีแดง ส้ม เหลือง เขียว สวยงามมากครับ อ้อ วันนี้ผมมีทริคมาแนะนำเรื่องการถ่ายภาพนิดหน่อยด้วย ว่าถ่ายยังไงให้ได้ประกายแสงแฉกๆแบบนี้ ติดตามไปเรื่อยๆเลยครับ
เวลาถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ ในเมืองหรือนอกเมือง หลายๆคนอาจชินกับการถ่ายไปข้างหน้า กับมุมหรือสถานที่ที่เจอสวยๆ บางครั้งแค่เราหันหลังมาดูก็อาจได้มุมใหม่ๆที่สวยงามไม่แพ้กันเลยละครับ ครั้งหน้าไปเที่ยวไหนลองหันหลังดูบ่อยๆนะครับ
ใบเมเปิ้ลสีแดงสดใสรับแสงแดดยามเช้า ตัดกับสีสันของท้องฟ้าและสีเขียวของน้ำในคลอง ได้ยินเสียงน้ำไหลเบาๆร่วมไปกับอากาศเย็นสบายๆและสดชื่น เป็นภาพและความรู้สึกที่อยากประทับเอาไว้ในใจตลอดไปจริงๆครับ
ด้านหน้าตรงนั้นก็คือสะพาน Togetsukyo สะพานโบราณเก่าแก่ ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ Arashiyama แห่งนี้ เป็นสะพานใหญ่ มีผู้คนและรถผ่านพลุกพล่าน จัดเป็นอีกมุมยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมากัน
อากาศวันนี้ค่อนข้างหนาวอีกแล้ว แต่ด้วยพื้นที่นี้ค่อนข้างมีความเป็นธรรมชาติสูง ทำให้อากาศปลอดโปร่งและสดชื่นมากๆ กักตุนอากาศสะอาดๆแบบนี้กันให้เต็มปอดเลยครับ
เดินชมย่านเมืองเก่า ซื้อของที่ระลึกน่ารัก
เดินข้ามสะพาน Togetsukyo มาแล้วก็จะเข้าสู่ตัวเมืองกันครับ ตรงบริเวณนี้จะเป็นถนนเล็กๆ มีร้านรวงมากมายตลอดสองข้างทาง ส่วนมากก็เห็นจะเป็นของที่ระลึกต่างๆ และร้านขนมครับ
สิ่งที่ทำให้อาราชิยาม่ายังคงความคลาสสิคไว้อีกอย่างก็คือ บริการรถลาก จากหนุ่มๆชาวญี่ปุ่น เค้าให้บริการลากไปส่งที่ต่างๆ ราคาก็แพงพอสมควรเลยละครับ ใครอยากสัมผัสก็ลองใช้บริการได้เลยครับ
ร้านนี้มีของที่ระลึกน่ารักหลายแบบให้เลือกกัน แค่มองจากหน้าร้านก็น่าแวะแล้วละครับ
เก็บภาพของที่ระลึกจากร้านต่างๆภายในเมืองมาฝากกัน ของเล็กๆน้อยๆน่ารักๆแบบนี้ถูกใจสาวๆแน่นอนนะครับ ขวาบนเป็นยางรัดผมใช่ไหมเอ่ย ลายน่ารักดี Made in Japan ทุกชิ้น , ขวาล่างเป็นกล่องใส่เครื่องประดับลายสวยๆทั้งนั้นเลย
เดินมาตามทางเรื่อยๆ ก่อนจะไปเที่ยวกันต่อ เราแวะหาขนมทานกันสักหน่อย สำหรับร้านนี้ตอนแรกก็ไม่ได้อยู่ในแผนอะไรครับ เดินผ่านมาแล้วเห็นหน้าร้านตกแต่งได้สวย ดูคลาสสิค และมีกลิ่นอายตะวันตกอยู่ เลยแวะชมกันหน่อยครับ
พอเข้ามาก็ทราบว่าที่นี่จริงๆแล้วคือ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ชื่อว่า Guido Reuge Museum โดยที่ชั้นล่างสุดจะเปิดเป็นคาเฟ่ กับขายของที่ระลึกครับ สำหรับใครที่อยากชมพิพิธภัณฑ์ก็จ่ายค่าเข้าชมและขึ้นไปดูบนชั้นสองได้
ขอนั่งพักจิบกาแฟ ทานขนมกันก่อนนะครับ สั่งขนมจานนี้มา แพนเค้ก+ไอศครีม ราดซอสคาราเมล เค้าจัดวางได้น่ารักดีนะครับ ส่วนรสชาติก็อร่อย ไอศครีมวานิลาหอมมัน กับแพนเค้กเนื้อละเอียดนุ่ม
จิบกาแฟกันสักหน่อย อยากให้แถวบ้านมีร้านที่ชงกาแฟได้หอมๆแบบนี้บ้างจัง
เทียววัดมรดกโลก ชมสวนแบบเซนสวยๆ
พักกันไม่นาน ไปเที่ยวกันต่อดีกว่าครับ เป้หมายต่อไปของเราก็คือ วัดเทนริวจิ Tenryu-ji Temple วัดนิกายเซนชื่อดังอันดับต้นๆของเกียวโต และยังถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลก เดินมาเห็นป้ายนี้ก็เข้าไปกันเลยครับ
ด้านในวัดเทนริวจิจะมีสวนสวยๆอยู่รอบๆตลอดทาง วิวด้านในจะเป็นจุดไฮไลท์ของที่นี่ เดินวนชมสวนด้านในได้ แต่ถ้าใครอยากชมบรรยากาศภายในอาคารไม้ทรงเก่าแบบนี้ ก็จ่ายค่าเข้าชมเพิ่มอีก 100 เยนและเข้าไปได้เลยครับ
นี่แหละครับ จุดไฮไลท์ที่บอกของวัดเทนริวจิแห่งนี้ การจัดสวนแบบเซน ที่มีทั้งความเรียบง่าย ความสวยงาม และความสงบ รวมกันอย่างลงตัว ภาพนี้ปรับนิดหน่อย ออกมาดูเหมือนเป็นภาพวาดภาพนึงเลยนะครับ
มองจากมุมนี้ไป จะเห็นอาคารของวัดและสวนเป็นมุมกว้าง เค้าออกแบบจัดสวนมาได้สวยงามตรึงตาตรึงใจจริงๆครับ
แนะนำเทคนิคถ่ายภาพประกายแสง
เวลาไปเที่ยววันฟ้าใสๆสวยๆแบบนี้ ผมก็อยากจะเก็บมุมที่มองเห็นพระอาทิตย์สวยๆเอาไว้บ้าง ส่วนมากหลายๆคนอาจเคยเจอปัญหาเรื่องการถ่ายภาพย้อนแสงแบบนี้ แล้วทำให้ภาพมืดดำไปทั้งภาพ แสงก็ขาวไปหมดไม่เป็นประกาย อย่างไรลองใช้วิธีนี้ดูนะครับ
อุปกรณ์ : กล้อง DSLR / Mirrorless หรือกล้องที่สามารถปรับค่ารูรับแสงได้ ทั้งนี้ประกายแสงที่ได้จะขึ้นอยู่กับรุ่นของกล้องและเลนส์อีกทีครับ — อุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายภาพชุดนี้คือ Nikon D610 / Lens 14-24 F2.8 ครับ
- ใช้โหมด A(Av) หรือ M เซ็ทค่า F หรือ รูรับแสง ให้สูงที่สุด
- ถ่ายภาพย้อนแสงอาทิตย์ตรงๆ โดยวัดแสงที่ท้องฟ้าและปรับชดเชยแสงขึ้น 2-3 stop
- ควรใช้ RAW File และนำมาปรับแต่งใน Lightroom ตามรูปภาพ
ตั้งค่ากล้องคร่าวๆ เน้นให้ F สูงที่สุดไว้ก่อน ส่วนสปีดชัตเตอร์และ ISO นั้นขึ้นอยู่กับสภาพแสงในสถานที่นั้นๆ
ตัวอย่างภาพนี้ ตั้งค่าไว้ตามรายละเอียดในภาพเลยครับ สังเกตว่าถ่ายมาแล้วก็จะเหมือนภาพย้อนแสงที่รายละเอียดจะมืดไปหน่อย แต่เราจะนำไปปรับแก้ไขทีหลังครับ ตอนถ่ายเน้นให้พระอาทิตย์เป็นประกายสวยๆก็พอ
ปรับตั้งค่าประมาณในภาพนี้ ใน Lightroom ได้เลยครับ เน้นให้ Highlight -100 / Shadows +100 ไว้ก่อน เพื่อดึงรายละเอียดส่วนมืดออกมา และเน้นให้ประกายแสงชัดยิ่งขึ้น
ตกแต่งโทนสีกันอีกนิดหน่อยตามความชอบก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ใช้เวลาแปปเดียวเองจ้า
เปรียบเทียบกันให้ดูเน้อ ลองนำเทคนิคนี้ไปประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์กันดูนะครับ เพิ่มโอกาสได้ภาพแปลกใหม่สวยๆกัน เอาไปใช้กับถ่ายแสงไฟจากเสาไฟ อาคาร ก็ได้นะครับ แต่ต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อความคมชัดอีกที
เที่ยวกันต่อดีกว่า ถ้าหากจ่ายค่าเข้าชมเข้ามาด้านในอาคารของวัดเทนริวจิกันแล้ว ด้านหน้าจะมีรูปวาดของพระดารุมะ พระเก่าแก่ชื่อดังของญี่ปุ่นที่ว่ากันว่าเป็นผู้ที่นำศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่มาของตุ๊กตาล้มลุกดารุมะที่เราเคยเห็นกันนั่นเอง
เดินชมภายในอาคาร มองออกไปก็เห็นสวนเซนสวยๆด้านหลังเช่นกัน
การตกแต่งภายในอาคารยังคงไว้ในรูปแบบญี่ปุ่นโบราณ มีพื้นที่เปิดโล่งไว้ใช้ประกอบพิธีต่างๆทางศาสนา
เดินชมใบไม้แดงสวยๆกันต่อ ภายในวัดก็จะมีต้นเมเปิ้ลอยู่ตามทางเรื่อยๆ หลายๆต้นเปลี่ยนสีกำลังได้ที่ สวยงามมาก
ต้นนี้เป็นต้นเล็กๆน่ารัก สีแดงออกแก่ๆหน่อย สวยงามไปอีกแบบ
มุมนี้ก็ได้ถ่ายประกายแสงสวยๆกันอีกใบ อย่าลืมนำเทคนิคนี้ไปใช้กันดูนะครับ ได้ไม่ได้อย่างไรมาสอบถามกันได้
ใบไม้สีส้มๆแดงๆ ตัดกันกับท้องฟ้าสีฟ้าใสๆได้อย่างลงตัว
ถ่ายรูปเล่นกันเพลินเลยทีเดียวครับ กล้อง Mirrorless ก็ทำได้นะ เดี๋ยวเราไปเดินชมป่าไผ่กันต่อ จากวัดเทนริวจิสามารถเดินทะลุมาออกป่าไผ่ได้เลยครับ หรือจะเดินเข้าจากด้านหน้าก็ได้ ลองดูแผนที่ด้านบนเทียบอีกทีนะ
ใครมาเดินชมป่าไผ่ก็คงจะได้พบกับคุณลุงคนนี้ทุกคน แกวาดไว้เยอะน่าดูครับ อุดหนุนมาใบสองใบไว้เป็นที่ระลึกแล้วกัน
ถ้าหากเดินทางมาในช่วง High season แบบนี้ คนเยอะตลอดทางครับ T_T
เค้าบอกว่าเสียงในป่าไผ่จัดเป็นเสียงของป่าที่ไพเราะและสงบที่สุดที่นึง เมื่อลมพัดมาแล้วเป็นเสียงของใบไผ่เสียดสีกันดังซ่า ซ่า กับกลิ่นของต้นไผ่ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้รู้สึกเย็น สงบ
เดินออกมาท้ายๆของถนนป่าไผ่ เจอลุงขายมันเผาอยู่ พลาดไม่ได้เลยละครับ ของโปรด มันญี่ปุ่น
ซื้อมาสองใบครับ ประมาณ 600 กว่าเยน มาร้อนๆเลย เนื้อมันญี่ปุ่นแท้ๆ ละเอียด นุ่ม หวานหอมอร่อยมากๆ กินบรรเทาหนาวได้พอสมควร เติมพลังกันหน่อย
เราเดินกันต่อ เป้าหมายต่อไปคือวัด โจจัคโคจิ Jojakkoji Temple กันนะครับ มุมนี้ใบไม้ยังเปลี่ยนสีไม่มากนัก
เดินมาถึงวัด Jojakkoji กันแล้วจ่ายค่าเข้าชมและเดินเข้ามาด้านในกันเลยครับ ที่นี่ก็มีใบไม้แดงสวยๆให้ถ่ายเหมือนกัน
หนุ่มรถลากมีบริการพาสาวๆเดินเที่ยวด้วยหรอนี่ เพิ่งรู้ อิอิ
เหมือนเราจะมาช้าไปหน่อยที่นี่เริ่มโรยแล้ว หรือยังไม่ถึงจุดพีคก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ใบเมเปิ้ลสีเหลืองสดบนกองใบไม้ที่เหี่ยวแห้ง สื่อให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง กาลเวลา และวัฏจักรของชีวิต
บรรยากาศที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ ยิ่งมาช่วงเย็นๆแล้วจะสงบมากๆ ตลอดทางมีต้นเมเปิ้ลและต้นไม้มากมาย ทางเดินขึ้นไปชมเจดีย์ สัญลักษณ์ของวัดนี้ มีแนวต้นไผ่เรียงอยู่เหมือนกัน
ยังพอมีเมเปิ้ลสีแดงสดสวยๆให้ถ่ายอยู่พอสมควรครับ อย่างที่บอกไปว่า สภาพอากาศปีนี้แปรปรวนจริงๆ ความหนาวมาช้า ทำให้หลายๆต้นไม่สามารถเปลี่ยนสีได้สมบูรณ์ตามวัฏจักรของมัน บางต้นก็ร่วงโรยกันไปก่อนจะเปลี่ยนสีเสียอีก
ต้นแปะก๊วยใบสีเหลืองสวย ร่วงโรยลงมาจนกลายเป็นพรมใบแปะก๊วยสวยๆ
พรมใบแปะก๊วยสีเหลืองอ่อนกับสีเหลืองสดดูแล้วสดใสน่ารักดี
ขึ้นมาถึงด้านบนก็ถ่ายภาพเจดีย์ของที่นี่กัน ถ้ามาถูกช่วงเวลา รอบๆจะเป็นใบไม้สีแดงสวยงามกว่านี้ครับ
เริ่มเย็นแล้ว ชักจะหิว เดินออกมาจากวัดไม่ไกล จำพิกัดไม่ได้แล้วครับ ก็มาเจอกับร้านขายผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ร้านนี้
ไข่ไก่ที่นี่สีสันสดใหม่น่าทานมากๆ ไม่แน่ใจว่าเลี้ยงเองอยู่ด้านหลังร้านไหม 555 ราคาก็ตามป้ายเลยครับ ไข่ต้มฟองละ 100 เยน เสิร์ฟให้พร้อมกับเกลือ , ข้าวหน้าไข่ดิบ ชามละ 320 เยน สองฟอง 500 เยน , พุดดิ้งถ้วยละ 350 เยน
ผมสั่งข้าวหน้าไข่ดิบมาทาน เค้าจะตักข้าวสวยร้อนๆแล้วตอกไข่ดิบไส่ พร้อมกับผักดอง ใส่ซอสปรุงรสให้นิดหน่อย มาถึงเราก็ใช้ตะเกียบ คนๆๆไข่ดิบให้แตกผสมกับข้าวร้อนๆจนทั่วแบบในภาพ แล้วทานได้เลยครับ
รสชาติน่ะหรอ…อร่อยยยยมากๆ ไข่ไก่สดใหม่ขนาดนี้มันหวานหอมจนไม่น่าเชื่อ ไม่มีความรู้สึกคาวเลย ไข่กับผักดองและข้าวสวยร้อนๆ ทั้งสามอย่างเข้ากันได้ดีมากๆ อร่อยกว่าในร้านอาหารจานด่วนในเมืองเยอะเลยครับ คงเพราะความสดที่แตกต่างนี่แหละ
เดินกันจนเหนื่อยจริงจังนะครับวันนี้ เย็นมากแล้วเดี๋ยวเรากลับไปแวะหาอะไรทานก่อนกลับโอซาก้าดีกว่า
แวะ Kawaramachi เดินช็อป-ชิมของอร่อย
มาลงที่สถานี Kawaramachi เดินมาตามถนนจะพบกับซอย Shinyogoku ซอยนี้เลย อารมณ์ซอยละลายทรัพย์อีกที่นึงนั่นแหละครับ แต่ที่นี่เสื้อผ้าลดราคาเยอะมากๆ เดินไปทางไหนก็มีแต่ของ sale
หลายๆร้านจัดโปรโมชั่น เสื้อผ้าก็สวยๆทั้งนั้นเลย บางร้านนี่ถูกเวอร์มากๆ ถ้าผ่านมาลองแวะมาเดินดูกันนะครับ
ถัดมาจากซอย Shinyogoku นิดหน่อย วันนี้เรามาตามหาร้าน Katsukura ร้านหมูทอดระดับตำนานกันเป็นมื้อค่ำก่อนกลับที่พัก หน้าร้านเป็นทางเข้าเล็กๆแบบนี้เลยครับ (ยืมภาพมาจาก Google Map เพราะลืมถ่าย)
ร้านนี้ชื่อดังมากๆเรื่องหมูทอด ทำให้ต้องรอคิวสักพักครับ แต่ที่สาขานี้ดูจะรอคิวน้อยกว่าสาขาในสถานีเกียวโตนะครับ รออยู่ประมาณ 30 นาทีก็ได้ทานแล้ว เราได้ที่นั่งชั้นใต้ดิน
เบียร์สดเย็นๆมาแกล้มให้สดชื่นหายเหนื่อยกันหน่อย และก็ตามธรรมเนียมร้านทงคัตซึที่จะมีถ้วยใส่งาพร้อมไม้ครกให้บดงาทานกับหมูทอดและน้ำซอสนะครับ ที่นี่เสิร์ฟข้าวสวยมาให้เป็นหม้อเลย หมดก็เติมได้ไม่อั้นจ้า
มาแล้วๆ ร้อนๆ ทอดได้ดูกรอบสีสวยน่าทานมากๆ เซ็ทนี้เป็น หมูกับกุ้ง กุ้งทอดที่นี่ทีเด็ดเลยครับ ตัวใหญ่เนื้อแน่นจนถึงปลาย ไม่ใช่กัดไปแล้วเจอแต่แป้ง ชุบแป้งแค่บางๆกับเกล็ดขนมปัง กัดลงไปเนื้อกุ้งด้านในสดเด้ง หวาน อร่อยเวอร์
อีกชุดสั่งเป็นโคร๊อคเกะ เนื้อนุ่มๆผสมกับมันบด กรอบนอกและนุ่มจนละลายข้างใน อร่อยสุดๆ
เรามากันสามคนก็เลยสั่งสามเซ็ทให้ไม่เหมือนกันนะครับ แต่ละชุดราคาะอยู่ที่ประมาณ 1500-2000 เยน
เรียกไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่ามากิทอด หรืออะไรดีด้านในเป็นแฮม ผัก อร่อยกรุบกรอบรสเข้มข้นดีครับ
ชิมพระเอกของร้านกันบ้าง เนื้อหมูทงคัตซึสมกับเป็นร้านระดับตำนานจริงๆ เนื้อหมูนุ่มหวานมากๆ ด้านนอกก็ชุบเป็นแป้งบางๆไม่หนา แต่มีความกรอบอร่อยครบถ้วน น้ำซอสราดก็เป็นสูตรของทางร้านรสเข้มข้นกลมกล่อม ทานกับข้าวสวยร้อนๆนี่ต้องเติมข้าวครับ อร่อยมาก
จากตรง Kawaramachi ก็ไม่ไกลจากสถานีเกียวโตเท่าไรนัก ถ้าสามารถกลับจากสถานีนี้ได้ก็นั่งรถไฟกลับเลย ถ้าไม่ได้ จะรอรถบัส หรือเรียกแท๊กซี่ไปลงสถานีเกียวโตกันเลยก็ได้ครับ ยิ่งถ้ามากัน 4 คน หารออกมาก็พอๆกับค่ารถไฟเลย
กลับกันแล้วครับวันนี้ ได้เดินชมใบไม้แดงและวิวสวยๆ หาของอร่อยทานกันจนเต็มอิ่มเลย เพื่อนๆที่มาเที่ยวเกียวโตลองนำแผนนี้ไปปรับตามตารางเที่ยวของตัวเองดูกันนะครับ โดยเฉพาะใครที่มาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ห้ามพลาดเลยครับแถบ อาราชิยาม่า Arashiyama นี้
ลากันไปก่อน รอติดตามตอนหน้ากันนะครับ
ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันนะครับ ^^
รายละเอียดสถานที่ต่างๆ
วัดเทนริวจิ , Tenryuji Temple
เวลาเปิด : 8:30 – 17:30 น. ทุกวัน
ค่าเข้าชม : 500 + 100 เยน เข้าชมภายในอาคาร
Location : 35.015853, 135.673777
วัดโจจัคโคจิ , Jojakkoji Temple
เวลาเปิด : 9:00-17:00 น. ทุกวัน
ค่าเข้าชม : 400 เยน
Location : 35.019633, 135.668630
ร้าน Katsukura
เวลาเปิด : 11:00 – 22:00 น. ทุกวัน
Location 35.003958, 135.760896